เจาะสูตร Video Marketing ฉบับ MrBeast เพื่อปั้นคอนเทนต์ไวรัล
ในยุคที่ผู้บริโภคใช้เวลาหลักชั่วโมงต่อวันไปกับแพลตฟอร์มวิดีโออย่าง YouTube, TikTok และ Facebook Video การทำ Video Marketing จึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดต้องหันมาให้ความสำคัญ โดยหนึ่งในต้นแบบของการสร้างวิดีโอไวรัลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดระดับโลก คือ “MrBeast” ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม YouTube ที่มีผู้ติดตามกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ทั้งยังมีหลักการคิดและการทำงานอย่างเป็นระบบที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9 แนวทางการทำ Video ของ MrBeast ทำตามได้ง่าย เพิ่มโอกาสเป็นไวรัล
1. วิดีโอที่ดี ไม่ใช่แค่ดูดี แต่ต้อง “ดูจบ”
หนึ่งในหัวใจของการทำ Video แบบ MrBeast คือ “Retention Rate” หรือ อัตราการรับชมจนจบ ซึ่งสำคัญกว่าการที่มีแค่ภาพสวย ๆ เสียงชัด ๆ เพราะวิดีโอที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้ชมให้ติดตามต่อจนจบ จะเพิ่มโอกาสในการแชร์และสร้างไวรัลได้ดีกว่าหลายเท่า
ทั้งนี้ เคล็ดลับสำคัญ คือ ต้องรู้ว่าวิดีโอของคุณมีจังหวะที่คนพร้อมจะกดออกอยู่ตรงไหน และปรับโครงสร้างให้ช่วงต้นถึงกลางวิดีโอเป็นช่วงที่ดีที่สุด พร้อมดึงคนดูให้อยู่กับเนื้อหาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. หัวเรื่องและภาพปกสำคัญกว่าที่คิด
แนวทางการทำ Video ของ MrBeast ให้ความสำคัญกับ “Title” และ “Thumbnail” อย่างมาก เพราะเป็นด่านแรกที่กำหนดว่าใครจะคลิกดูหรือเลื่อนผ่าน โดยเคล็ดลับคือ ควรตั้งชื่อให้กระตุ้นอารมณ์และมีเรื่องราว เช่น จาก “ทดลองอยู่หน้าบ้าน 50 ชั่วโมง” เป็น “รับคำท้า ! อยู่หน้าบ้าน 50 ชั่วโมง ใครไหวไปก่อนเลย” และที่สำคัญ ต้องทำภาพปกให้ดูสวยงาม น่าคลิก แต่ต้องสัมพันธ์กับเนื้อหาเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของตัวครีเอเตอร์เองด้วย
3. นาทีทองของวิดีโออยู่ที่ 60 วินาทีแรก
จากข้อมูลจริงของทีม MrBeast การรับชมจะดรอปลงมากที่สุดในช่วง 1 นาทีแรก ดังนั้น วิดีโอที่ดีต้องมีทริกการเปิดเรื่องแบบสุดปังด้วยสิ่งที่ผู้ชมอยากดู โดยเทคนิคที่ใช้ได้ เช่น การเปิดฉากด้วยเหตุการณ์สุดเซอร์ไพรส์ การวางคอนฟลิกต์หรือคำถามที่กระตุ้นความสนใจ หรือการปูเนื้อหาให้อยู่ในช่วงไฮไลต์ทันทีภายใน 60 วินาทีแรก เพราะหากไม่รักษาผู้ชมในช่วงนี้ไว้ได้ ยอดดูรวมจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็นหลายเท่า
4. Re-Engagement ทุก 3 นาที
Video Marketing ที่ดีต้องออกแบบจังหวะดึงความสนใจทุก ๆ 3 นาที ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “Re-Engagement Point” เช่น ฉาก Plot Twist หรือเรื่องไม่คาดฝันที่คนดูจะคิดว่า “มีแค่ช่องนี้ที่ทำได้” อย่างใน Video ของ MrBeast จะมีเซอร์ไพรส์ชิ้นใหญ่หรือช่วงตลกที่กระตุ้นอารมณ์เป็นระยะ ๆ เพื่อยื้อคนดูให้อยู่กับวิดีโอจนจบ
5. สร้าง "WOW Factor" ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้
สิ่งที่ทำให้ Video ของ MrBeast แตกต่าง คือ การทำสิ่งที่ไม่มีครีเอเตอร์คนไหนทำได้หรือกล้าทำ เช่น ยกบ้านขึ้นเครน 30 วินาทีแรกของวิดีโอ หรือแจกเงินครึ่งล้านในเกมง่าย ๆ สิ่งนี้เรียกว่า Wow Factor ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะมันคือเสน่ห์เฉพาะตัวของช่องที่ทำให้ผู้ชมจดจำและติดตามต่อ
สำหรับแบรนด์หรือองค์กร อาจปรับเป็นแคมเปญเซอร์ไพรส์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น แจกของในรูปแบบที่ไม่ธรรมดา หรือร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ในสไตล์ที่คนดูอาจคาดไม่ถึง
6. ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ระดับโปร เพราะความคิดสร้างสรรค์สำคัญกว่า
สำหรับแนวทางการทำ Video ของ MrBeast ทีมโปรดักชันจะให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ มากกว่าการใช้อุปกรณ์ระดับมืออาชีพ เพราะวิดีโอที่ดีขึ้นอยู่กับ “เรื่องเล่า” ไม่ใช่ความแพงของกล้อง และอีกหนึ่งข้อคิดสำคัญของทีม MrBeast คือ “อย่าให้ข้อจำกัดอุปกรณ์มาเป็นอุปสรรคของความคิดสร้างสรรค์”
7. รู้ว่าเรากำลังทำเนื้อหาในช่วงนาทีไหนของวิดีโอ
ทุกคอนเทนต์ของ MrBeast ต้องผ่านการออกแบบโครงสร้างมาอย่างแม่นยำ กล่าวคือ ทีมงานต้องรู้ว่าแต่ละวินาทีที่กำลังถ่ายทำเป็นช่วงนาทีที่เท่าไรของวิดีโอ เพื่อให้สามารถออกแบบโทน จังหวะ ความตื่นเต้น หรือการเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับความคาดหวังของคนดูในแต่ละช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น
- นาทีที่ 1: จุดพีก
- นาทีที่ 1-3 : ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว
- นาทีที่ 3-6 : ฉากเปลี่ยนไว กระตุ้นคนดูเรื่อย ๆ
- นาทีที่ 6 เป็นต้นไป : เฉลยและปิดจบแบบเหนือคาด
8. อย่าปล่อยให้เรื่องสำคัญอยู่ในความรับผิดชอบของคนอื่นโดยไม่ตาม
อีกสิ่งที่ MrBeast ย้ำกับทีมงานทุกคนเสมอ คือ ไม่มีใครดูแลเรื่องสำคัญแทนคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมอุปกรณ์ การถ่ายทำ หรือแม้แต่การวางแผนสำรอง โดยหลักการนี้ใช้ได้กับการทำ Video Marketing ทุกแขนง กล่าวคือ ตัวครีเอเตอร์เองต้องคอยตรวจสอบทุกขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง จนกว่าทุกชิ้นส่วนจะเสร็จสมบูรณ์
9. เปลี่ยนแนวคิดในการทำโฆษณาแฝงจาก “การแทรก” มาเป็น “การสร้างเนื้อหาร่วม”
หนึ่งในสูตรสำเร็จที่ทำให้วิดีโอของ MrBeast ไม่มีช่วงดรอปยอดวิว คือ การวางแบรนด์ให้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง ไม่ใช่สปอนเซอร์ที่ถูกแทรกแบบขัดอารมณ์ ตัวอย่างเช่น การทำให้แบรนด์เข้ามามีบทบาทในวิดีโอ หรือสร้างภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการแจกขนมเป็นของรางวัลหลัก หรือการใช้แบรนด์เป็นกิมมิกในเกม แทนการโฆษณาแบบขายตรง
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ใช่ทุกองค์กรจะมีงบประมาณระดับ MrBeast แต่ความเข้าใจในพฤติกรรมผู้ชม และการวางโครงสร้างวิดีโออย่างชาญฉลาด ก็ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทุกธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้แน่นอน เพราะ Video Marketing ในยุคนี้ ไม่ได้แข่งกันที่คุณภาพกล้องหรืองบถ่ายทำ แต่แข่งกันที่ความเข้าใจคนดู และการเล่าเรื่องให้โดนใจที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุดต่างหาก
และหากธุรกิจไหนกำลังมองหาแนวทางหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนคอนเทนต์แบบนี้ การปรึกษาบริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ที่เข้าใจการวางกลยุทธ์วิดีโอให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้แคมเปญวิดีโอของแบรนด์ไปได้ไกลกว่าที่คิด !
Loading...