< Back

7 เทคนิคทำ Storytelling เพื่อการสื่อสารแคมเปญอย่างมีกลยุทธ์

AD
โดย:Jenosize.com
share5

เจาะลึก 7 เทคนิค Storytelling ที่เปลี่ยนแคมเปญธรรมดาให้ปัง !


ทุกครั้งที่กดเข้าโซเชียลมีเดีย คุณมักจะเห็นข้อมูลข่าวสารบนหน้าฟีดที่ไหลบ่าอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น การแข่งขันในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันจึงไม่ได้วัดกันแค่ที่ตัวเลขหรือข้อมูลเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังวัดกันที่ “Storytelling” (การเล่าเรื่อง) ทักษะอันทรงพลังในการสื่อสารที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลธรรมดาให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ตราตรึงใจและสามารถกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ


หากแบรนด์ของคุณต้องการสร้างความแตกต่าง การเข้าใจและประยุกต์ใช้ Business Storytelling อย่างถูกต้องจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจ การมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน



ทำไม Storytelling คือทักษะที่จำเป็นในยุคนี้ ?


Storytelling คือ ศาสตร์และศิลป์ของการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่แค่การเล่าข้อมูลธรรมดา แต่คือการสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับผู้รับสาร โดยงานวิจัยจาก The New York Times ระบุว่า ขณะที่การนำเสนอข้อมูลแบบตัวเลขเพียงอย่างเดียวจะกระตุ้นสมองแค่ส่วนของการประมวลผลภาษาแบบพื้นฐาน ทว่าเทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling กลับสามารถกระตุ้นสมองหลายส่วนพร้อมกัน รวมถึงบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสประสบการณ์โดยตรง ซึ่งทำให้เรื่องราวนั้น “น่าจดจำ” และ “น่าสนใจ” มากกว่าการสื่อสารแบบเดิมหลายเท่า

 

7 เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling สำหรับแบรนด์


1. เลือกเรื่องราวที่เหมาะสมในเวลาที่ใช่

ในการทำแคมเปญแต่ละชิ้น ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเล่าทุกเรื่องในครั้งเดียว แต่ให้เลือกเรื่องที่ “ใช่” กับบริบท และตอบโจทย์ผู้รับสารในขณะนั้น โดยเรื่องราวควรทำให้ผู้ฟังเข้าใจทันทีว่า “ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญกับเขา” และสามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง เช่น ความเห็นใจ ความสนใจ หรือแรงบันดาลใจ ที่นำไปสู่การลงมือทำ (Action)


2. เปิดเรื่องด้วย Hook ที่น่าดึงดูด

เพราะเราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการตัดสินใจว่าจะเสพเนื้อหาต่อหรือไม่ ดังนั้น การเริ่มต้นด้วย Hook ที่น่าดึงดูดจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดย Hook ที่ดีอาจมาในรูปแบบของคำถามชวนคิด ตัวเลขที่น่าตกใจ หรือประโยคที่กระตุ้นอารมณ์ เพื่อให้ผู้ชมอยากรู้ต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป


3. เขียนเรื่องราวอย่างรวดเร็วและมีโครงสร้าง

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling ที่ดีต้องมีโครงสร้างชัดเจน โดยหนึ่งในโครงสร้างที่ใช้ได้จริง คือ IRS Model ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เนื้อหามีความสมดุลเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการสร้างอารมณ์ร่วมของผู้ชมได้ดียิ่งขึ้นด้วย ดังนี้


  • Intriguing Beginning การเปิดเรื่องที่ให้ชวนรู้สึกอยากติดตาม
  • Riveting Middle การดำเนินเรื่องด้วยจุดพลิกผันหรือความขัดแย้งที่ทำให้ผู้ชมอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
  • Satisfying Ending การปิดท้ายด้วยบทสรุปที่ชัดเจน และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ


4. ใช้พล็อตเรื่องพื้นฐาน เข้าใจง่าย

หนึ่งในหัวใจของเทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling คือ การใช้พล็อตที่เป็นสากลและเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้ผู้ฟังเชื่อมโยงกับเรื่องราวได้ง่ายขึ้น และมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวแบรนด์ เช่น


  • Origin Story เรื่องราวจุดเริ่มต้นของแบรนด์หรือสินค้า
  • Underdog Story การต่อสู้ของผู้ที่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาส แต่สามารถพลิกสถานการณ์ได้
  • Overcoming the Monster การเผชิญหน้ากับอุปสรรค และการเอาชนะอย่างยิ่งใหญ่


5. เปรียบเทียบเรื่องยากด้วยอุปมาอุปไมย

การสื่อสารเรื่องราวที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย อาจต้องใช้อุปมาอุปไมยเข้าช่วย เช่น เปรียบการวางแผนกลยุทธ์เหมือนการเดินหมาก หรือเปรียบการใช้บริการคลาวด์เหมือนกับการเช่าห้องทำงานแทนการสร้างตึกเอง วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดความซับซ้อน แต่ยังช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่องอีกด้วย


6. มองโลกจากมุมมองของผู้อ่าน

ทำความเข้าใจว่าผู้ฟังหรือผู้อ่านมีความคาดหวัง ความกลัว หรือปัญหาอะไรอยู่ในใจบ้าง แล้วจึงออกแบบเรื่องราวเพื่อสื่อสารกับพวกเขาในจุดนั้น การใช้วิธีนี้จะทำให้เนื้อหากลายเป็น “คำตอบ” ที่เขากำลังค้นหา ไม่ใช่แค่ “ข้อมูล” ที่แบรนด์อยากบอกเพียงอย่างเดียว


7. ใช้โทนเสียง (Tone of Voice) ที่เหมาะสม

แม้ Storytelling ของคุณจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่หากถ่ายทอดด้วยโทนเสียงไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้เนื้อหาไม่สามารถเข้าถึงจิตใจผู้ชมได้ โดยโทนเสียงที่ใช้ควรสอดคล้องกับแบรนด์ กลุ่มเป้าหมาย และแพลตฟอร์ม เช่น ถ้าเล่าบน TikTok อาจจะต้องเป็นกันเองและกระชับ เข้าใจง่าย ในขณะที่เนื้อหาบนเว็บไซต์อาจใช้ภาษาที่เป็นทางการและเน้นความน่าเชื่อถือเป็นหลัก



Case Study : ตัวอย่างแบรนด์ที่เป็นที่จดจำจากการใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling


โฆษณาไทยประกันชีวิต

หนึ่งในกรณีศึกษาที่โดดเด่นที่สุดของ Storytelling คือ โฆษณาจากไทยประกันชีวิต ที่เล่าเรื่องด้วยความเรียบง่ายแต่กินใจ โดยจะเห็นได้จากหลายแคมเปญที่มีการเลือกใช้เรื่องราวของคนธรรมดาในชีวิตจริงที่เสียสละเพื่อผู้อื่น หรือการให้ตัวละครหลักเผชิญอุปสรรคอย่างหนักหน่วง จุดเด่นอยู่ที่การดึงอารมณ์ความเห็นใจ และการสร้างบทสรุปที่สะท้อนคุณค่าชีวิตได้ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมรู้สึกอินตามได้ไม่ยาก


Nike

Nike เป็นอีกแบรนด์ที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling อย่างมีกลยุทธ์ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องนักกีฬาที่ต้องฝ่าฟันขีดจำกัดของตนเองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญ “Just Do It” หรือเรื่องราวของนักกีฬาที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมชัยชนะ แต่ใช้ความพยายามล้วน ๆ ในการเอาชนะอุปสรรค เรื่องราวเหล่านี้ล้วนสร้างแรงบันดาลใจและปลุกพลังให้ผู้คนรู้สึกว่า “ถ้าเขาทำได้ ฉันก็ทำได้เช่นกัน”

 

จะเห็นได้ว่า Storytelling คือทักษะที่ทุกธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ควรให้ความสำคัญในการสร้างการสื่อสารที่ทรงพลังและยั่งยืน หากต้องการสร้างความแตกต่างในโลกที่ข้อมูลล้นหลามเช่นนี้ ธุรกิจควรเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนการเล่าเรื่องที่มีเป้าหมาย ชัดเจน และสอดคล้องกับหัวใจของกลุ่มเป้าหมาย เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ตัวเลขและสถิติอาจถูกลืม แต่เรื่องราวที่แตะหัวใจจะถูกจดจำตลอดไป


หากคุณคือผู้ประกอบการที่ต้องการสื่อสารแบรนด์ให้ชัดเจนและตรงใจ เราพร้อมช่วยเปลี่ยนเรื่องราวของคุณให้กลายเป็นแคมเปญที่คนจดจำได้ ด้วยประสบการณ์ด้านการวางกลยุทธ์และการเล่าเรื่องจาก เจโนไซส์ Digital Agency ที่เข้าใจโลกของ Digital Marketing & Media อย่างแท้จริง


ให้เจโนไซส์เป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยเล่าตัวตนของแบรนด์คุณ ด้วย Storytelling ที่มีพลังและวัดผลได้


เริ่มต้นสร้างแคมเปญที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวอย่างมีกลยุทธ์ สามารถกรอกฟอร์มหน้าเว็บไซต์เพื่อติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญของเราได้แล้ววันนี้

Loading...

ร่วมเปิดกล่องโอกาส
แห่งอนาคตด้วยกัน

Contact

Brief Us

ง่ายและรวดเร็ว
เราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

facebook chat

คุยกับทีมฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.

mobile

โทรติดต่อฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.