ช่องทางการขายมีอะไรบ้าง ? รู้จัก 3 แพลตฟอร์มของนักขายยุคใหม่
ยุคนี้ การขายสินค้าออนไลน์ถือเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจขยายตลาดและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าถามว่าช่องทางการขายมีอะไรบ้างนั้น ต้องบอกเลยว่าสามแพลตฟอร์มหลักอย่าง Marketplace, Brand.com และ Social Commerce กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการ SME และร้านค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมย่อมมีผลต่อยอดขายและการเติบโตของธุรกิจอย่างมาก ดังนั้น มาสำรวจข้อดีและข้อจำกัดของทั้งสามช่องทาง พร้อมข้อแนะนำในการช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจเลือกว่าจะขายของช่องทางไหนดีที่เหมาะสมที่สุดกันเลย !
Marketplace ช่องทางขายที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่
ข้อดีของ Marketplace
สามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้ง่าย
Marketplace เป็นแพลตฟอร์มที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว การขายผ่าน Marketplace ช่วยลดระยะเวลาในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้มาก นอกจากนี้ยังมีระบบที่ช่วยสนับสนุนการขาย เช่น การชำระเงินออนไลน์ การจัดส่งสินค้า การบริการลูกค้า
โครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งาน
Marketplace มีระบบต่าง ๆ ที่เตรียมพร้อมใช้งานอยู่แล้ว ทำให้ผู้ขายไม่จำเป็นต้องลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีหรือจัดการระบบต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบการชำระเงิน การจัดส่ง หรือบริการหลังการขาย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเริ่มขายได้ทันที
ลูกค้ามักเชื่อถือแพลตฟอร์มที่มีระบบรีวิวและการันตีสินค้าคุณภาพ
ผู้บริโภคมักจะไว้วางใจ Marketplace ที่มีระบบรีวิวจากผู้ซื้อจริง เพราะทำให้สามารถมั่นใจในคุณภาพของสินค้าและบริการได้ ซึ่งเป็นข้อดีที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
มีโปรโมชันและแคมเปญที่ช่วยดึงดูดลูกค้า
Marketplace มักจะจัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่าง ๆ เช่น Flash Sale หรือคูปองส่วนลด เพื่อดึงดูดลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขายได้ง่ายขึ้น
ข้อจำกัดของ Marketplace
การแข่งขันสูง
เนื่องจากมีร้านค้าหลายพันรายใน Marketplace เพราะบางคนไม่รู้ว่าช่องทางการจัดจำหน่ายมีอะไรบ้างและจะขายของที่ไหนดี ก็จะนึกถึง Marketplace เป็นอันดับแรก การแข่งขันด้านราคาจึงสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องลดราคาหรือเพิ่มข้อเสนอพิเศษเพื่อล่อลูกค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไร
ค่าธรรมเนียมจากการขายและโฆษณา
Marketplace มักจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการขายสินค้า และค่าธรรมเนียมจากการทำโฆษณา ซึ่งอาจลดกำไรจากการขายลง
ไม่สามารถควบคุมประสบการณ์การซื้อ-ขายหรือสร้างแบรนด์ได้เต็มที่
การขายสินค้าผ่าน Marketplace ทำให้ธุรกิจไม่สามารถควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ เพราะจะถูกควบคุมโดยแพลตฟอร์ม ทำให้ไม่สามารถสร้างแบรนด์ที่แตกต่างได้มากนัก
Brand.com เว็บไซต์ขายสินค้าของแบรนด์เอง
ข้อดีของ Brand.com
สร้างความเป็นเจ้าของแบรนด์ 100%
การสร้างเว็บไซต์ของแบรนด์เองทำให้ธุรกิจสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการออกแบบเว็บไซต์ การนำเสนอสินค้า และประสบการณ์ของลูกค้า
เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์และทำ CRM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเองทำให้ธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าและใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการทำ Customer Relationship Management (CRM) เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
ไม่มีค่าธรรมเนียมต่อการขาย
การขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ของแบรนด์เองจะไม่มีค่าธรรมเนียมจากแพลตฟอร์ม ทำให้ธุรกิจสามารถรักษากำไรได้มากขึ้น
เพิ่มความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของธุรกิจระยะยาว
การมีเว็บไซต์ของแบรนด์เองช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจมีการออกแบบที่ดึงดูดและมีประสบการณ์ที่ดีสำหรับลูกค้า
ข้อจำกัดของ Brand.com
ต้องลงทุนพัฒนาเว็บไซต์และระบบต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
การสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการลงทุนในเรื่องของการออกแบบเว็บไซต์ ระบบชำระเงิน การจัดการสต็อก และระบบหลังบ้าน
ต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงลูกค้าเข้ามายังเว็บไซต์
การดึงดูดลูกค้าให้มาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแบรนด์เองอาจจะยากกว่าการขายผ่าน Marketplace ซึ่งมีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเป็นประจำ
การจัดการอาจซับซ้อนกว่า
การจัดการเว็บไซต์ของแบรนด์เองต้องมีการดูแลทั้งด้านการชำระเงิน การจัดส่ง และการบริการลูกค้า ซึ่งอาจซับซ้อนกว่า Marketplace ที่มีระบบสนับสนุนพร้อมใช้งาน
Social Commerce ช่องทางขายที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง
ข้อดีของ Social Commerce
สามารถสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง
Social Commerce ทำให้ธุรกิจสามารถติดต่อและตอบสนองลูกค้าได้โดยตรงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, LINE OA และ TikTok ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นระหว่างธุรกิจและลูกค้า
ควบคุมแบรนด์และกลยุทธ์การขายได้เอง
Social Commerce ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมทุกด้าน ตั้งแต่การออกแบบการนำเสนอสินค้า การสร้างคอนเทนต์ ไปจนถึงการกำหนดโปรโมชัน ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้นทุนต่ำกว่า Marketplace
ไม่มีค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มสูงอย่าง Marketplace และสามารถใช้กลยุทธ์ Organic Reach เพื่อเพิ่มการมองเห็นโดยไม่ต้องลงทุนกับโฆษณามากนัก
เพิ่มโอกาสปิดการขายผ่าน Live Commerce และ Chat Commerce
Social Commerce ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การไลฟ์สดหรือการตอบคำถามลูกค้าผ่านแชท ทำให้กระบวนการซื้อขายมีความรวดเร็วและเป็นส่วนตัว
ข้อจำกัดของ Social Commerce
ต้องบริหารจัดการเองทั้งหมด
การขายผ่าน Social Commerce ต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงิน การจัดส่ง หรือการบริการลูกค้า
อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การที่โซเชียลมีเดียมีการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมตลอดเวลา ทำให้การเข้าถึงลูกค้าอาจลดลง หากไม่มีการลงทุนกับโฆษณา
ไม่มีระบบจัดการสต๊อกอัตโนมัติเหมือนใน Marketplace
ผู้ขายต้องอัปเดตข้อมูลสต๊อกเองแบบ Manual ซึ่งต้องใช้ความละเอียดและความแม่นยำสูง
ไม่รู้จะขายของช่องทางไหนดี Social Commerce อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ
แม้ว่า Marketplace จะเป็นช่องทางที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และระบบสนับสนุนที่ดี แต่ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า Social Commerce กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียสูง และมีแนวโน้มว่าจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกในอนาคต
กลยุทธ์การขายผ่าน Social Commerce ให้ประสบความสำเร็จ
สร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจ
การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เช่น วิดีโอรีวิวสินค้า ไลฟ์สด หรือการใช้อินฟลูเอนเซอร์ จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและกระตุ้นความสนใจจากลูกค้า
ใช้ Chat Commerce ตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์
การใช้แชตเพื่อช่วยในการตอบคำถามลูกค้าช่วยเพิ่มความสะดวกและทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อ
เลือกใช้ Facebook Ads, Instagram Ads และ TikTok Ads ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียควรเลือกให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงและการแปลงลูกค้า
ใช้แพลตฟอร์มเสริมในการบริหารจัดการ
การใช้เครื่องมือช่วยเสริม เช่น LINE OA, Chatbot หรือระบบ CRM จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการขายและดูแลลูกค้า
ได้รู้ไปแล้วว่าช่องทางการขายมีอะไรบ้าง ทีนี้ การเลือกช่องทางขายออนไลน์ที่เหมาะสมก็จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายและทรัพยากรของธุรกิจ โดย Marketplace เหมาะสำหรับร้านค้าที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าใหม่จำนวนมาก และใช้แพลตฟอร์มที่มีระบบสนับสนุนพร้อม ในขณะที่ Brand.com เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความเป็นเจ้าของแบรนด์และเพิ่มความน่าเชื่อถือในระยะยาว ส่วน Social Commerce เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการควบคุมแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และลดต้นทุนค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม
อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน Social Commerce นับเป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพสูง การวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างฐานลูกค้าและยอดขายที่มั่นคงในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถใช้บริการ Tech Solution เพื่อช่วยในการพัฒนาเว็บไซต์และระบบต่าง ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้อีกด้วย
Loading...