10 ปัจจัยความเสี่ยงที่ธุรกิจต้องรับมือในปี 2025 และอนาคต
นับวัน โลกของเราก็ยิ่งเผชิญกับวิกฤตที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งอะไรหลาย ๆ อย่างยังเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ความเปราะบางของโลกในปัจจุบันล้วนเกิดจากปัจจัยความเสี่ยงเหล่านี้ที่ส่งผลกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ อย่างไม่อาจแยกออก ซึ่งจากรายงาน Global Risks Report 2025 ของ World Economic Forum (WEF) ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ต้องจับตามอง ส่งผลให้ผู้กำหนดนโยบายและองค์กรทั่วโลกต่างต้องเตรียมรับมืออย่างเร่งด่วนกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในหลากหลายมิติ เช่น การอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Consulting เพื่อวางกลยุทธ์รับมือความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
10 ปัจจัยความเสี่ยงระดับโลกในปี 2025 ที่องค์กรต้องเตรียมรับมือ
ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ (Economic Risks)
1. ความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งทางการเมืองและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยความเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ซึ่งอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การจำกัดการค้าระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและภูมิภาคเอเชียยังอาจส่งผลต่อราคาพลังงานและความมั่นคงของตลาดการเงินด้วย
ดังนั้น องค์กรที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศจึงจำเป็นต้องวางแผนรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้และพิจารณาการกระจายแหล่งทรัพยากรและคู่ค้าทางธุรกิจให้หลากหลาย รวมถึงติดตามนโยบายการค้าและมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างใกล้ชิด
2. วิกฤตเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทางการเงิน
แม้ว่าหลายประเทศจะฟื้นตัวจากผลกระทบของโรคระบาด COVID-19 ได้บ้างแล้ว แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง การชะลอตัวของเศรษฐกิจในตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ และยุโรป อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ ในระดับโลก ยิ่งไปกว่านั้น อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นและหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงยังทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเงิน ดังนั้น ธุรกิจควรติดตามปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งวางแผนกลยุทธ์ทางการเงิน เช่น การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนและการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ
3. วิกฤตสุขภาพและโรคระบาด
แม้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่การเกิดโรคระบาดใหม่ ๆ ก็ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อทั่วโลก กล่าวคือ การกลายพันธุ์ของไวรัส การต่อต้านวัคซีน และระบบสาธารณสุขที่มีข้อจำกัดในบางประเทศ อาจส่งผลให้เกิดการระบาดที่ควบคุมได้ยากขึ้น ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาแรงงานและซัปพลายเชนจึงจำเป็นต้องมีแผนรองรับความเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น การปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่น หรือการพัฒนามาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพภายในองค์กร
4. ปัญหาขาดแคลนแรงงานและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลงและการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างแรงงาน เทคโนโลยีอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ส่งผลให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ ขณะที่แรงงานที่ขาดทักษะจำเป็นอาจเผชิญกับปัญหาว่างงาน องค์กรจึงจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาทักษะแรงงาน พร้อมทั้งสร้างนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ
5. การขาดแคลนทรัพยากรเชิงกลยุทธ์
ทรัพยากรที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมหลัก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แร่หายาก และพลังงานสะอาด กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนเนื่องจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลกระทบต่อซัปพลายเชน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ดังนั้น องค์กรต้องพิจารณาแหล่งทรัพยากรทางเลือก พัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิล และเพิ่มความสามารถในการผลิตในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า
ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental & Social Risks)
6. ภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม พายุรุนแรง และคลื่นความร้อน ส่งผลให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในด้านการผลิต การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐาน องค์กรจึงจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางในการปรับตัว เช่น การใช้พลังงานสะอาด การออกแบบระบบซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่น และการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญ ความกดดันจากภาครัฐและผู้บริโภคในเรื่อง ESG (Environmental, Social, and Governance) กำลังเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งธุรกิจที่ไม่สามารถตอบสนองต่อแนวโน้มนี้อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวได้
7. การกัดกร่อนของสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพลเมือง
ในหลายประเทศ มีแนวโน้มที่รัฐบาลจะเพิ่มมาตรการควบคุมข้อมูลข่าวสารและจำกัดเสรีภาพพลเมืองมากขึ้น ส่งผลให้การเข้าถึงข้อมูล การแสดงความคิดเห็น และการดำเนินธุรกิจอาจเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมายที่เข้มงวดกว่าเดิม นอกจากนี้ การละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้แรงงานบังคับ หรือการละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชน อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและทำให้เกิดแรงกดดันจากภาคประชาสังคมและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับหลักจริยธรรม
สิ่งที่องค์กรทำได้ คือ การพัฒนานโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ครอบคลุม ตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานอย่างเข้มงวด และสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดปัจจัยความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและกฎหมาย
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี (Technological Risks)
8. ความแตกแยกทางสังคมและข้อมูลที่ผิด (Misinformation)
การแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิด (Misinformation) และข่าวปลอม (Fake News) ส่งผลกระทบต่อสังคมและธุรกิจในหลายมิติ โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร เนื่องจากข้อมูลที่ผิดอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในหมู่ผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ และกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมได้ องค์กรจึงต้องมีนโยบายบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีข้อมูล รวมถึงใช้ AI และ Machine Learning ในการตรวจสอบข้อมูล ตลอดจนเพิ่มความโปร่งใสในการสื่อสารกับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
9. เทคโนโลยีและภัยคุกคามทางไซเบอร์
การพัฒนาเทคโนโลยี เช่น AI, Blockchain หรือ Quantum Computing ล้วนนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Ransomware หรือ Phishing Attack ที่อาจส่งผลให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลและเกิดความเสียหายทางการเงิน องค์กรจึงจำเป็นต้องลงทุนในระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นสูง พัฒนาแนวทางการบริหารความเสี่ยง และให้ความสำคัญกับการอบรมพนักงานเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์
10. ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยีล้ำสมัย
แม้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ก็มาพร้อมกับปัจจัยความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการสูญเสียตำแหน่งงานของมนุษย์ นอกจากนี้ ปัญหาด้านจริยธรรมของ AI เช่น อคติในอัลกอริทึม หรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในทางที่ผิด ยังอาจสร้างผลกระทบทางกฎหมายและภาพลักษณ์ขององค์กร ส่งผลให้บริษัทที่ต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ต้องหันมามุ่งเน้นที่การพัฒนาอย่างมีจริยธรรม พร้อมสร้างมาตรการป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ภาคธุรกิจ หน่วยงานรัฐบาล และประชาชนจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแนวทางที่ยั่งยืนในการลดปัจจัยความเสี่ยงและเพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวจากวิกฤต ซึ่งบริการ Digital Consulting จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และช่วยองค์กรพัฒนากลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความท้าทายในยุคดิจิทัล ให้คุณสามารถปรับตัวและพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม เพื่อก้าวผ่านปี 2025 ไปได้ด้วยความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น
Loading...