AI การรับมือแผ่นดินไหวญี่ปุ่น นวัตกรรมใหม่ในการเฝ้าระวังภัย
ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเขตทางตอนใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ทั้งในแง่ชีวิต ทรัพย์สิน และระบบสาธารณูปโภค ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นและองค์กรวิจัยต่าง ๆ จึงเร่งพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเสริมสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติดังกล่าว และหนึ่งในแนวทางที่ได้รับการผลักดันอย่างจริงจังคือ “การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” เข้ามามีบทบาทในการคาดการณ์ วิเคราะห์ และการรับมือแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ
เทคโนโลยี AI สำหรับตรวจจับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์
หนึ่งในเทคโนโลยีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน คือระบบ AI ที่พัฒนาโดย Japan Agency for Marine-Earth Science and Technology (JAMSTEC) ซึ่งสามารถตรวจจับจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวบริเวณแนวร่องลึก Nankai Trough ได้อย่างแม่นยำ โดยมีการลดความคลาดเคลื่อนของพิกัดจากเดิมที่อาจผิดพลาดได้ถึง 20 กิโลเมตร เหลือเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งหมดนี้สามารถคำนวณได้ภายในเวลาเพียง 5 วินาที
AI การรับมือแผ่นดินไหวญี่ปุ่นตัวนี้ ทำงานโดยการวิเคราะห์ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนแบบ 3 มิติจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และสามารถแสดงผลแบบเรียลไทม์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น Japan Meteorological Agency ออกคำเตือนภัยพิบัติหรือสึนามิได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ข้อมูลที่แม่นยำขึ้นในช่วงเสี้ยววินาทีหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเตือนภัยและการอพยพที่รวดเร็ว เนื่องจากช่วยลดการสูญเสียได้อย่างมีนัยสำคัญ
โมเดล AI การรับมือแผ่นดินไหว สำหรับประเมินเสถียรภาพของชั้นดินและความเสี่ยง Liquefaction
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจ คือ โมเดล AI การรับมือแผ่นดินไหวญี่ปุ่นสำหรับวิเคราะห์ชั้นดินแบบสามมิติ ที่พัฒนาโดยทีมจาก Shibaura Institute of Technology โดยใช้เทคนิค Artificial Neural Networks และ Assembled Learning เพื่อประเมินความเสี่ยงของ Liquefaction หรือภาวะดินอ่อนตัวเป็นของเหลวจากแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการถล่มของอาคารและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายฝั่งและดินอ่อน โมเดลนี้สามารถสร้างภาพจำลองที่ละเอียดของสภาพชั้นดิน ช่วยให้
- นักวางผังเมืองสามารถระบุ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการก่อสร้าง
- วิศวกรสามารถออกแบบโครงสร้างให้รองรับสภาพดินในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หน่วยงานท้องถิ่นสามารถออกมาตรการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติอย่างรอบด้าน
ประโยชน์เชิงกลยุทธ์ที่ได้จากการรับมือแผ่นดินไหวญี่ปุ่น สำหรับภาคธุรกิจและภาครัฐ
AI การรับมือแผ่นดินไหวไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้ในเชิงกลยุทธ์สำหรับองค์กรธุรกิจและภาครัฐด้วย เช่น
- การเลือกสถานที่ตั้งธุรกิจ ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงในพื้นที่ก่อนลงทุนก่อสร้างสำนักงานหรือคลังสินค้า
- การประเมินความเสี่ยงเพื่อการประกันภัย ทำให้สามารถต่อรองเบี้ยประกันที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
- การวางแผน BCP (Business Continuity Plan) สร้างแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินโดยมีข้อมูลสนับสนุนที่แม่นยำ
- ระบบเตือนภัยชุมชนและเมืองใหญ่ ลดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจากการอพยพล่าช้าหรือผิดพลาด
ขยายมุมมองการวางแผน BCP ในบริบทธุรกิจไทย
ในบริบทของภาคธุรกิจ การเตรียม BCP ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น โรงงานผลิต สายส่งพลังงาน หรือคลังสินค้าขนาดใหญ่ การใช้ข้อมูลจาก AI ที่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงของพื้นที่จากประวัติแผ่นดินไหวและสภาพชั้นดินแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถเลือกทำเลที่ปลอดภัย วางแผนการย้ายระบบ หรือกระจายความเสี่ยงของซัปพลายเชนได้อย่างเป็นระบบ
ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยี AI ยังสามารถใช้จำลองสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น โมเดลแรงสั่นสะเทือน หรือเส้นทางการอพยพ เพื่อปรับใช้เป็นแผน BCP ที่สามารถใช้งานได้จริง ลดผลกระทบต่อคนและระบบงานเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
โอกาสต่อยอดสำหรับประเทศไทย
แม้ว่าไทยจะไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรงเท่าญี่ปุ่น แต่ภัยพิบัติจากแรงสั่นสะเทือนก็ยังเกิดขึ้นได้ ซึ่งนอกจากในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันตกที่เคยได้รับแรงสั่นสะเทือนจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ปัจจุบันยังลามมาถึงในกรุงเทพฯ และหลายจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ นครราชสีมา นครสวรรค์ และภูเก็ต เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
การศึกษาการใช้ AI การรับมือแผ่นดินไหวญี่ปุ่น จึงเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการ
- ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี Early Warning System ภายในประเทศ
- ประยุกต์ใช้ข้อมูลชั้นดินเพื่อวางผังเมืองและออกแบบอาคารให้เหมาะกับความเสี่ยง
- เตรียมความพร้อมภาคธุรกิจต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ
ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ การนำโมเดล AI แบบญี่ปุ่นไปปรับใช้กับพื้นที่เสี่ยงในไทย เช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ซึ่งเคยมีรายงานแรงสั่นสะเทือนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา การร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านธรณีวิทยา มหาวิทยาลัย และหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อพัฒนาแบบจำลอง 3 มิติของชั้นดิน รวมถึงการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนในระดับลึก อาจกลายเป็นต้นแบบสำคัญในการยกระดับการเตือนภัยแผ่นดินไหวของประเทศ
อย่างไรก็ดี ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์หรือสาธารณูปโภคก็สามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวางแผนการลงทุน ก่อสร้าง และออกแบบอาคารให้ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและความยั่งยืนในระยะยาวได้เช่นกัน
ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของประเทศที่นำ AI มาใช้จัดการภัยพิบัติธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการรับมือแผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ความสามารถของ AI การรับมือแผ่นดินไหวในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและให้ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางกลยุทธ์ของภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐให้พร้อมรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนได้อย่างยั่งยืน หากประเทศไทยสามารถต่อยอดแนวคิดนี้เข้าสู่การวางแผนและพัฒนาระบบรับมือภัยพิบัติในบริบทของตนเองได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถยกระดับความปลอดภัยในสังคม พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงและชาญฉลาดยิ่งขึ้น
และสำหรับองค์กรใดที่กำลังมองหา Tech Solution สำหรับธุรกิจเพื่อยกระดับการวางแผน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือสร้างระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ เจโนไซส์ พร้อมเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่เข้าใจธุรกิจไทยอย่างแท้จริง กรอกฟอร์มหน้าเว็บไซตืเพื่อติดต่อเราได้แล้ววันนี้
Loading...