< Back

รู้จัก Smart City ปรับทิศการพัฒนาเมืองด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

AD
โดย:Jenosize.com
share22

Smart City คืออะไร ? พลิกอนาคตเมืองไทยด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล


ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ทั้งวิกฤตโรคระบาด สภาพอากาศผันผวน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน รัฐบาลในหลายประเทศได้เริ่มวางรากฐานเมืองอัจฉริยะที่ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ประเทศไทยเองก็เริ่มเดินหน้าในทิศทางเดียวกัน การเปลี่ยนผ่านภาครัฐสู่ดิจิทัลจึงเป็น “ข้อบังคับ” หากต้องการให้โครงสร้างราชการยังคงมีความเกี่ยวข้องและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในยุคใหม่


แนวคิด Smart City ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะนำพารัฐไทยก้าวข้ามจากระบบราชการแบบเดิม สู่ระบบการบริหารที่ทันสมัย ยืดหยุ่น และเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ



Smart City คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ?


Smart City คือ แนวคิดในการพัฒนาเมืองโดยอาศัยการบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี และระบบอัจฉริยะ เข้ามาช่วยจัดการทรัพยากรและบริการต่าง ๆ ของเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ยั่งยืน และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านการคมนาคม พลังงาน ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษา


เป้าหมายของการพัฒนา Smart City ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความล้ำสมัยของระบบ แต่คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดต้นทุนการดำเนินงานของภาครัฐ และสร้างเศรษฐกิจเมืองที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยอาศัยแนวทางการจัดการแบบเรียลไทม์ ลดความสิ้นเปลืองทรัพยากร และเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของสังคม

 

เข้าใจหลัก Government Digital Transformation พื้นฐานของการสร้าง Smart City


การก้าวสู่ความเป็น Smart City นั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน หากภาครัฐยังคงยึดติดกับโครงสร้างและระบบการทำงานแบบดั้งเดิม ดังนั้น การวางรากฐานด้วยแนวทาง Government Digital Transformation จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองให้เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง


หากถามว่าหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Smart City มีอะไรบ้างนั้น คำตอบคือ


  • Data Integration การบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพรวมที่ชัดเจนของเมืองและประชาชน
  • e-Government การให้บริการภาครัฐผ่านช่องทางดิจิทัลที่สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย
  • Big Data & Analytics การจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างแม่นยำ
  • Cybersecurity การดูแลความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

 

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน อีกหนึ่งปัจจัยเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ Smart City


แนวคิด Public-Private Partnership (PPP) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา Smart City อย่างยั่งยืน เพราะการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณ ทั้งยังเปิดโอกาสให้นำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากภาคเอกชนมาใช้ในการบริหารจัดการเมือง ไม่ว่าจะเป็น


  • การพัฒนา UX/UI ของบริการภาครัฐให้ใช้งานง่ายและตอบโจทย์
  • การสร้างระบบ CRM สำหรับประชาชน ช่วยบริหารข้อมูลและพฤติกรรมผู้ใช้งาน
  • การออกแบบกลยุทธ์การสื่อสารที่ทำให้ประชาชนเข้าใจและเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างแพร่หลาย


Case Study: ตัวอย่าง Smart City การเปลี่ยนผ่านสู่เมืองอัจฉริยะในระดับสากล


พื่อให้เห็นภาพของเมืองอัจฉริยะอย่างเป็นรูปธรรม เราขอยกตัวอย่าง Smart City จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเป็นบทเรียนสำคัญในการปรับใช้ในบริบทของประเทศไทย ดังนี้


  • สิงคโปร์ ยกระดับทั้งประเทศสู่ระบบดิจิทัล ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม ตั้งแต่เซนเซอร์ตรวจวัดอากาศ ระบบติดตามการจราจร ไปจนถึงการดูแลสุขภาพแบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อระหว่างรัฐและประชาชน
  • เอสโตเนีย หนึ่งในผู้นำด้าน e-Government ด้วยระบบ e-Residency และ e-Tax ที่ทำให้ประชาชนสามารถทำธุรกรรมกับรัฐได้โดยไม่ต้องเดินทางไปยังหน่วยงานราชการ
  • ดูไบ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในระบบราชการเพื่อลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความโปร่งใส และเสริมความปลอดภัยในการจัดการข้อมูลของรัฐ



ความท้าทายของการทรานส์ฟอร์มภาครัฐไทยสู่ Smart City


แม้ประเทศไทยมีความพยายามในการเดินหน้าสู่การเป็น Smart City อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น


  • โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
  • หน่วยงานรัฐทำงานแบบแยกส่วน (Silo) ส่งผลให้ข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน
  • บุคลากรภาครัฐยังขาดทักษะด้านเทคโนโลยี และการจัดการข้อมูล
  • ความไม่มั่นใจของประชาชนต่อการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนตัวโดยรัฐ

 

แนวทางสู่อนาคตของภาครัฐไทยในยุคดิจิทัล


เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้าง Smart City ได้อย่างยั่งยืน ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งปรับตัวใน 4 แนวทางหลัก ได้แก่


1. Design Thinking สำหรับภาครัฐ

การนำแนวคิด Design Thinking มาใช้ในกระบวนการทำงานของภาครัฐ เป็นการเปลี่ยนมุมมองจาก “รัฐเป็นศูนย์กลาง” มาเป็น “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยเน้นการทำความเข้าใจความต้องการ ประสบการณ์ และพฤติกรรมของผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้งก่อนจะออกแบบบริการหรือระบบใด ๆ การออกแบบที่ดีในภาครัฐจึงไม่ควรยึดเพียงประสิทธิภาพของหน่วยงาน แต่ควรมุ่งเน้นการลดขั้นตอนที่ซับซ้อน อำนวยความสะดวก และสร้างประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม


2. Open Data & Transparency

การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอย่างเป็นระบบ ถือเป็นรากฐานของความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย ซึ่ง Open Data คือการเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย มีมาตรฐาน และสามารถนำไปใช้ต่อได้จริงโดยภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และนักวิจัย ข้อมูลที่เปิดเผย เช่น งบประมาณรัฐ แผนงานพัฒนาเมือง หรือสถิติสุขภาพ สามารถกลายเป็นต้นทางของนวัตกรรมใหม่ ๆ และเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความถูกต้องของนโยบายรัฐอย่างสร้างสรรค์ เมื่อประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเสรี ก็จะเกิดความเชื่อมั่นในภาครัฐมากขึ้น ขณะเดียวกัน ภาครัฐเองก็จะได้รับฟีดแบ็กจากสังคมที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง


3. Agile Governance

แนวทางการบริหารแบบ Agile เป็นการขยับออกจากระบบราชการแบบเดิมที่ยึดติดกับขั้นตอนที่ซับซ้อนและการทำงานแบบลำดับขั้น มาเป็นรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น รวดเร็ว และสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันเวลา โดยจะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมข้ามสายงาน การทดลองและเรียนรู้จากความผิดพลาด รวมถึงการตั้งเป้าหมายระยะสั้นที่สามารถวัดผลและปรับเปลี่ยนได้ตามความจริงของสถานการณ์


4. Sustainability

การพัฒนา Smart City จะไม่สามารถยั่งยืนได้ หากไม่พิจารณาเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรควบคู่ไปด้วย แนวคิดด้านความยั่งยืนในบริบทของนโยบายดิจิทัล หมายถึงการออกแบบระบบและบริการต่าง ๆ ให้มีอายุการใช้งานยาวนาน ปรับเปลี่ยนได้ง่าย และไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การใช้พลังงานสะอาดในระบบโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการขยะด้วยระบบ IoT หรือแม้แต่การลดปริมาณกระดาษจากการเปลี่ยนบริการรัฐสู่ระบบออนไลน์

 

Smart City และ Government Digital Transformation จึงไม่ใช่เพียงโครงการเชิงเทคนิค แต่คือการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีบริหาร และวิธีให้บริการของภาครัฐอย่างลึกซึ้ง การเตรียมความพร้อมเชิงโครงสร้าง การเปิดรับความร่วมมือจากภาคเอกชน และการมุ่งเน้นคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นศูนย์กลาง จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การสร้างเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง และยกระดับขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว


สำหรับองค์กรภาครัฐที่ต้องการเดินหน้าสู่การเป็น Smart City อย่างมีระบบและยั่งยืน การเลือกบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจที่เข้าใจทั้งมิติของเทคโนโลยีดิจิทัลและภาครัฐโดยเฉพาะ คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เจโนไซส์พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยวางกลยุทธ์ วางระบบ และทรานส์ฟอร์มการทำงานขององค์กรภาครัฐให้ก้าวทันอนาคต กรอกฟอร์มเพื่อติดต่อเราได้เลยวันนี้ที่หน้าเว็บไซต์

Loading...

ร่วมเปิดกล่องโอกาส
แห่งอนาคตด้วยกัน

Contact

Brief Us

ง่ายและรวดเร็ว
เราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

facebook chat

คุยกับทีมฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.

mobile

โทรติดต่อฝ่ายขาย

ให้บริการ จันทร์ถึงศุกร์
9:00 น. - 19:00 น.